วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

BIO :] ระบบภูมิคุ้มกัน NK'


  ระบบภูมิคุ้มกัน

1. ภูมิคุ้มกันแบบไม่เฉพาะเจาะจงที่มีโดยธรรมชาติ (native immunity หรือ natural resistance) เป็นภูมิคุ้มกันที่มีมาแต่กำเนิด กลไกการป้องกันแบ่งออกเป็น
1.1 ลักษณะป้องกันทางกายวิภาค (anatomical barrier) เช่น ผิวหนัง และเยื่อบุผิว
1.2 สารเคมีในร่างกาย (chemical factor) เช่น น้ำตา น้ำลาย สารคัดหลั่งจากเซลล์
เยื่อบุจมูก น้ำย่อย
1.3 การสะกดกลืนกิน (phagocytosis) เซลล์ที่ทำหน้าที่ ได้แก่ neutrophil,
monocyte, macrophage เป็นต้น
1.4 ระบบคอมพลีเมนต์ (complement system) คือกลุ่มของโปรตีนในซีรั่มมากกว่า
20 ชนิด ที่ในภาวะปกติจะอยู่ในรูป inactive form แต่เมื่อถูกกระตุ้นจาก antigen-antibody
complex หรือ immune complex จะทำให้เกิดการกระตุ้นเชื่อมโยงต่อๆ ไป และ products ที่เกิด
ขึ้นจับเป็นคอมเพล็กซ์ที่เมมเบรนและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่กลับคืนไม่ได้ของเมมเบรนทั้ง
หน้าที่และรูปร่าง ทำให้เซลล์เกิดการแตกสลาย นอกจากนั้น biological products ที่เกิดขึ้นจะมีผล
ให้เกิดปฏิกิริยาต่างๆ ตามมามากมาย เช่น inflammation, anaphylaxis
2. ภูมิคุ้มกันแบบเฉพาะเจาะจง (specific acquired immunity) จะแบ่งวิธีการ
ตอบสนองออกเป็น 2 ระบบใหญ่ คือ
- humoral immune response (HIR) คือกระแสเลือดและกระแสน้ำทั่วร่างกาย โดย
อาศัยการสร้าง antibody (Ab) จาก B-lymphocyte ซึ่งมีกำเนิดจากไขกระดูก ในตอนแรกจะอยู่ใน
รูป pre-B-cell จากนั้นย้ายไปที่ lymphoid tissue เพื่อพัฒนาเป็น B-lymphocyte ที่เจริญเต็มที่จึง
ถูกปล่อยออกมาสู่กระแสเลือดและไปตาม lymphoid tissue ต่างๆ เข้าสู่กระแสน้ำเหลืองทั่วร่างกาย
เพื่อทำหน้าที่ เมื่อมี immunogen เข้ามาและทำการตอบสนองก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็น blast cell
และ plasma cell ตามลำดับเพื่อทำหน้าที่สร้าง antibody ที่จำเพาะต่อ immunogen แต่ละชนิด
- cell-mediated immune response (CMIR) คือด้านพึ่งเซลล์ เซลล์ที่ทำหน้าที่ใน
การตอบสนองนี้คือ T lymphocyte ซึ่งต้นกำเนิดก็มาจากไขกระดูกเช่นเดียวกับ B lymphocyte โดย
ในตอนแรกจะเป็น pre-T-cell จากนั้นจึงพัฒนาผ่านทาง thymus gland มาเป็น T-cell ที่สมบูรณ์
นอกจากนี้การตอบสนองอาจเกิดจากปฏิกิริยาของ mediators ที่ปล่อยออกมา (lymphokines) หรือ
ร่วมกับเซลล์อื่นๆ เช่น killer cell (K cell), natural killer cell (NK cell), macrophage

                                                         ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน

1. โรคภูมิแพ้ เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาต่อแอนติเจนบางอย่าง เช่น มีปฏิกิริยาต่อสารเคมี ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ สารจากสัตว์ทะเล เป็นต้น อาการแพ้อาจไม่รุนแรงมาก แต่จะมีอาการต่อเนื่อง ภูมิแพ้สามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เช่น เมื่อแพ้แอนติเจนที่พบในอาหารบางชนิด ก็ไม่ควรรับประทานอาหารชนิดนั้น หรือหากแพ้ฝุ่นก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น เป็นต้น มีรายงานทางการแพทย์ว่าภาวะภูมิแพ้อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรมด้วย
 2.โรคเอดส์ (AIDS)  ย่อมาจาก acquired immune deficiency syndromeเป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิด HIV (human immunodeficiency virus) เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อ HIV การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันจะเปลี่ยนแปลง



ปัจจัยที่มีส่งผลต่อประสิทธิภาพในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน

 

ประสิทธิภาพในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับ
1.      ปัจจัยทางพันธุกรรม  การตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกันอยู่ภายใต้การควบคุมของยีนในกลุ่ม histocompatibility antigens
2.      อายุ  เด็กเล็กและผู้สูงอายุมีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันด้อยกว่าคนหนุ่มสาว  จึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่าย
3.      ปัจจัยทางเมแทโบลิก  ฮอร์โมนบางชนิดเช่นสเตียรอย์มีฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการกินสิ่งแปลกปลอมของเม็ดเลือดขาว ลดการสร้างแอนติบอดี  คนที่กินยาในกลุ่มสเตียรอยด์จึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
4.      ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม  คนที่มีเศรษฐานะยากจนจะมีอัตราการเกิดโรคต่างๆสูงกว่าคนที่มีความเป็นอยู่ดี ทั้งนี้เนื่องจากสาเหตุหลายประการรวมทั้งการขาดสารอาหาร
5.      ลักษณะทางกายวิภาค  ความผิดปกติของผิวหนังและเยื่อุ เช่น ผิวหนังมีแผลพุพองอักเสบ  แผลไฟไหม้ จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่าย
6.      ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเชื้อจุลชีพ  จุลชีพประจำถิ่น (normal flora) ที่อาศัยอยู่ในลำไส้จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลชีพก่อโรค  ถ้าเชื้อจุลชีพประจำถิ่นถูกทำลาย เช่นได้รับยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง เชื้อจุลชีพก่อโรคจะทวีจำนวนขึ้นก่อให้เกิดโรคได้
7.      ลักษณะทางสรีระ ตัวอย่างเช่น ความเป็นกรดของน้ำย่อยในกะเพาะอาหาร  ขนอ่อน (cilia) ที่คอยโบกพัดบริเวณผิวเยื่อบุหลอดลม  การไหลของน้ำปัสสาวะ ถ้าสิ่งที่กล่าวมาผิดปกติ เชื้อจุลชีพจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

12 วิธีการดูแลสุขภาพ

1.       ต้องหวีผมบ่อย ๆอาจใช้นิ้วทั้ง ๑๐ หรือหวี ทำการหวีผมบ่อย ๆ จะช่วยทำให้ตาสว่าง ทำให้รากผมแข็งแรง
2.       ต้องถูใบหน้าบ่อย ๆ   ใช่ฝ่ามือ ๒ ข้างถูหน้าบ่อย ๆ ให้เลือดมาเลี้ยงใบหน้า ทำให้ใบหน้าเปล่งปลั่ง ลบริ้วรอยเหี่ยวย่น
3.       ต้องเคลื่อนไหวดวงตาบ่อย ๆ บริเวณดวงตา เคลื่อนไหว มองไกล-มองใกล้ มองข้าง มองเข้าใน มองบน มองล่าง
4.      ต้องดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูบ่อย ๆ  เป็นการกระตุ้นการไหลเวียเลือดบริเวณใบหู ช่วยป้องกันการเกิดเสียงดังในหู หูตึง เวียนศีรษะ    รวมทั้งเป็นการบำรุงตานเถียน ตำแหน่งที่เก็บพลังของร่างกายใต้สะดือ สัมพันธ์กับไตซึ่งเปิดทวารที่หู
5.     ต้องหมั่นขบฟันเสมอขบเบา ๆ วันละหลายสิบครั้ง ช่วยทำให้ฟันแข็งแรง กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย
6.     ดันเพดานปากด้านบนด้วยลิ้นบ่อย ๆ  การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้า เป็นการกระตุ้นจะดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลังของเส้นลมปราณตู๋และเยิ่น (ซึ่งเป็นเส้นลมปราณควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าของร่างกาย) และเป็นการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ น้ำลาย
7.     ต้องกลืนน้ำลายบ่อย ๆ ควรฝึกกลืนน้ำลายบ่อย ๆ นอกจากเป็นการเคลื่อนไหวพลังบริเวณคอหอย แล้วยังช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารด้วย
8.     ของเสียต้องหมั่นขับทิ้ง อุจจาระ และปัสสาวะ ต้องหมั่นขับทิ้ง ไม่ควรเก็บสะสมไว้ในร่างกายนานเกินไป เพราะจะทำให้เกิดโรคของลำไส้ และโรคทางเดินปัสสวะ (การตกค้างของของเสียสัมพันธ์กับการดูดซึมสารพิษกลับสู่ร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายระบบรวมถึงมะเร็ง)
9.     ต้องถูหรือนวดท้องบ่อย ๆ  ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกา ช่วยทำให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น ลดไขมันหน้าท้อง เสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อหน้าท้อง ป้องกันกระเพาะอาหารหย่อนยาน
10.   ขมิบก้นบ่อย ๆ แต่ละวันควรจะต้องขมิบก้นวันละหลายครั้ง สามารถทำได้ทุกเวลา แม้ขณะทำงาน ยืน นั่ง นอน เป็นการป้องกันริดสีดวงทวารและป้องกันอาการท้องผูกได้ “ร่างกายคนถ้าอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ โดยไม่เคลื่อนไหว หรืออยู่ในท่าที่ข้อใดข้อหนึ่งหยุดนิ่งนาน ๆ จะทำให้เกิดโรคได้ง่าย”
11.   ต้องเคลื่อนไหวข้อทุกข้อ ร่างกายคนถ้าอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ โดยไม่เคลื่อนไหว หรืออยู่ในท่าที่ข้อใดข้อหนึ่งหยุดนิ่งนาน ๆ จะทำให้เกิดโรคได้ง่าย เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อผิดปกติ ขาดความยึดหยุ่น ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย จึงต้องสร้างสมดุลของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ตรงข้ามกันโดยการเคลื่อนไหวข้อต่าง ๆ (โบราณใช้วิชาชี่กง ฝึกไท้เก้ก หรือฝึกโยคะ นั่นเอง)
12.     ถูผิวหนังบ่อย ๆ  ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (เหมือนกับถูตัวเวลาอาบน้ำ) ช่วยทำให้เลือดและพลังไหลเวียนกล้ามเนื้อ  ผิวหนัง มีความยึดหยุ่น มีความเปล่งปลั่ง
      





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น